Fastdramatic.COM

เว็บข่าว ข่าวสดออนไลน์ 

นโยบายแจกเงินดิจิทัล

นโยบายแจกเงินดิจิทัล

นโยบายแจกเงินดิจิทัล

นโยบายเงินดิจิทัลคนละหมื่นบาท

นโยบายแจกเงินดิจิทัล ในตอนแรกคุณอาจคิดว่านโยบายคือ “แจกจ่ายสกุลเงินดิจิทัล 10,000 บาท” ให้กับคนไทยที่มีอายุมากกว่า 16 ปี ซึ่งมีรายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 70,000 บาท หรือที่มียอดบัญชีรวมไม่เกิน 500,000 บาท 

และ จำนวนประมาณ 50 ล้านคน ในทางกลับกัน เราหวังว่าจะใช้ชาวบ้านกว่า 50 ล้านคนเป็น “ที่พึ่ง” พูดง่าย ๆ ก็คือ เราหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยผลักดันนโยบายในการจัดสรรเงินทุนดังกล่าวหรือทำให้ “เงินกู้” จำนวน 5 แสนล้านบาทเป็นไปได้มากขึ้นเมื่อคนทั่วไปต้องการ

แต่ปรากฎว่าทุกอย่างแตกต่างไปจากที่คาดไว้มาก และนี่คือกรณีของ “การขอเงิน” อย่างแน่นอน ถามชาวบ้านร้อยคนแล้วพวกเขาก็ต้องการมัน แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดแล้ว “ไม่ตรงปก” และบอกว่ายังห่างไกลจากปก กล่าวอีกนัยหนึ่งสิ่งที่ชาวบ้านต้องการคือ “เงินสด” ไม่ใช่สกุลเงินดิจิทัล 

และที่สำคัญมีเงื่อนไขบางประการที่ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าแก๊ส รวมไปถึงค่าเล่าเรียนด้วย คุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่บริโภคได้เท่านั้น นั่นคือทั้งหมดที่ นายกรัฐมนตรี เศรษฐทวีสิน และพรรคเพื่อไทย โดนโมเรตถล่มทลาย เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ชาวบ้านต้องการ

ผลสำรวจชาวบ้านต้องการ “แจกเงินสด”

ชาวบ้านถูกถามโดยตรงผ่านพรรคการเมือง ผู้ทำการแนะนำชักชวนสมาชิกรัฐสภา และผลการวิจัยของหน่วยงานต่าง ๆ หรือไม่ เมื่อก่อนก็เหมือนกันหมด ชาวบ้านต้องการ “แจกเงินสด” หรือโอนเข้าบัญชี และคุณสามารถใช้จ่ายได้ทันที หรือใช้จ่ายตามใจชอบผ่านแอป “รอ”

แต่หลังจากออกมากลับตรงกันข้าม นอกจากนี้ยังมีสถานการณ์การชนเช่นนี้ ทำให้ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์กันเวลาให้เครดิตรัฐบาลเมื่อเห็นว่าพรรคเพื่อไทยนี้เสียหายเหมือนกันเพราะจะแจกไปทุกที่แต่เมื่อไม่ชอบใจประชาชน มันจะกลายเป็นความเสียหายสองเท่า 

เพราะประการแรกถ้าชาวบ้านไม่สนับสนุนเต็มที่ 100% จะทำให้การสนับสนุนไม่เพียงพอและถือเป็น “การสนับสนุนที่สนับสนุนไม่เต็มที่” ประการที่สองจะทำให้พรรคเพื่อไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือ อย่างน้อยวลี “คิดใหญ่แล้วทำ” ยังคงเป็นปรมาจารย์ของประชานิยม มันไม่วิเศษอีกต่อไป เพราะ “ตีไม่ได้”

ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้ ยังต้องรอเหมือน “ลูกผีลูกคน” เพราะยังมีด่านให้ผ่านอีกหลายด่าน แต่ละด่านคือ “ด่านหิน” ที่สามารถเป็นเรื่องความเป็นความตายของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ได้เช่นกัน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและพรรคเพื่อไทย 

เพราะหาก “ไม่ผ่านด่านรัฐสภา” ที่จะตรากฎหมายเงินกู้ 5 แสนล้านบาท หากไม่ผ่านนายกรัฐมนตรีจะต้องลาออกเนื่องจากเป็นกฎหมายการเงิน และก่อนหน้านั้นคุณยังต้องเสี่ยงต่อการถูกจำคุกอีกด้วย ไม่ว่าปลายทางจะเป็นเช่นไร ศาลรัฐธรรมนูญ “นักร้อง” ทุกคนก็เริ่มยื่นเรื่องร้องเรียน

นโยบายแจกเงินดิจิทัล คนละหมื่น

คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

ด่านตรวจ ป.ป.ช. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนและสอบสวนคู่ขนาน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) หรือแม้แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องสอบสวน ฝ่าฝืนนโยบายหาเสียง “ยืมแล้วไม่พรากจากกัน” 

ซึ่งตนได้แจ้ง กกต. ยืนยันใช้เงินงบประมาณแล้ว แม้แต่จุดตรวจแรกก็คือสภากฤษฎีกาซึ่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล โดยรัฐบาลต้องยื่นคำร้องเพื่อพิจารณาก่อนหากผลปรากฏว่า “ผิดกฎหมาย” ก็ถือเป็น “แท้งตั้งแต่ต้นทาง”

แม้บางคนบอกล่วงหน้าว่านี่เป็นหนทางให้นายเศรษฐา ทวีสิน และพรรคเพื่อไทย “หาทางออก” แต่ก็ทำต่อไปไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องหาแนวทางแก้ไขที่ช่วยให้องค์กรอิสระสามารถ “โจมตี” ได้ ในขณะที่รัฐบาลอ้างว่าได้ “ทำดีที่สุดแล้ว” แต่การถูกบล็อกก็เป็นวิธีที่ราบรื่นในการ “โยนตัวเองเข้าสู่อาชญากรรม” หรือ “ตามหาแพะ”

สิ่งที่รัฐบาลต้องเจอในวันข้างหน้า

สิ่งที่รัฐบาลนายเศรษฐาต้องเผชิญในอนาคตหากผ่านด่านแรก คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ถือว่า “เหนื่อย” เช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้ในการประชุมคณะกรรมการชุดใหญ่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หนึ่งในนั้นคือผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย 

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และ สังคมแห่งชาติ ได้แก่ สภากฤษฎีกาและอื่น ๆ คณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย สศช. เข้าใจว่าได้กระตุ้น ให้พิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะว่าจะต้องเผยแพร่หรือไม่นั้นยังต้องได้รับการยืนยันว่าต้องการให้เผยแพร่ไปยังกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

โดยเฉพาะ เช่น กลุ่มที่มีช่องโหว่ ความต้องการเงินส่งผลให้จำนวนเงินลดลงอย่างมาก และยังมีการเพิ่ม “จดหมายแสดงความเห็น” ซึ่งสะท้อนถึงความสามัคคีของเสียง มีเพียงเสียงคัดค้านเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ดร.พรหมมินทร์ เลิศสุริยเดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์รายการเจาะลึก “Inside Thai” เพื่อทราบข่าวนี้ โดยเลขาธิการ ครม. แสดงความไม่เห็นด้วยกับการปล่อยตัว คสช. ร่างพระราชบัญญัติเลขาธิการ สภาแห่งรัฐกล่าวว่าในการประชุมคณะกรรมการ

นโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัลที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา ได้มีการนำวงเงินกู้ไปใช้กับโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ฉันไม่ได้บอกว่าฉัน ไม่เห็นด้วยจึงขอบันทึกการประชุม แต่ในตอนท้ายของการประชุมกลับบอกว่าความรับผิดชอบ

ของพวกเขาคือดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย และปกป้องทุกคนในที่ประชุมเรื่องนี้จะมีการหารือในคณะกรรมการกฤษฎีกา นี่เป็นวิธีที่เราต้องสำรวจร่วมกัน สภาแห่งรัฐก่อน

อ่านข่าวเพิ่มเติม : ข่าวการเมือง

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ : fastdramatic

ติดต่อสอบถาม และ เข้าร่วมกิจกรรม ได้ที่ LINE : @UFA656

โปรดยืนยันว่าคุณบรรลุข้อกำหนดด้านอายุตามกฎหมาย (18 ปีขึ้นไป) เพื่อดำเนินการต่อ